วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ไมเกรน....เคมีในสมองไม่ปกติ
@ อาการปวดศีรษะจากความเครียด มักเป็นแบบปวดซีกใดซีกหนึ่ง หรือทั่วทั้งศีรษะ ปวดต่อเนื่อง มักมีอาการเจ็บบริเวณคอและหลังส่วนบน ร่วมกับอาการหน้ามืด ตาลาย และเวียนศีรษะ
@ ปวดคลัสเตอร์ เป็นแบบตุ๊บซีกหนึ่งของศีรษะ วันละหลายครั้ง อาจต่อเนื่องหลายเดือน
@ ไมเกรน มักปวดตุ๊บๆ เริ่มต้นที่ขมับหรือตาข้างหนึ่ง จากนั้นลามไปทั้งซีก หรือ 2 ข้าง
มักมีคลื่นไส้ อาเจียน แพ้แสงจ้า ร่วมด้วย
@ อาจมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เช่น เห็นแสงสว่างวาบๆ หรือเห็นเป็นคลื่น มีอาการเจ็บแปลบ ตาพร่า เวียนศีรษะ และมีเสียงก้องในหู เหงื่อออก หนาว อ่อนเพลีย ใบหน้าบวม โกรธฉุนเฉียวง่าย ทนเสียงดังหรือแสงจ้าวูบวาบไม่ได้
@  พบในหญิง : ชาย = 3:1 เป็นในช่วงอายุ 25 – 55 ปี โดยพันธุกรรมมีส่วนร่วม
สาเหตุ ไมเกรนอยู่ในประเภทที่มีอาการปวดศีรษะ โดยไม่พบพยาธิสภาพ แต่ก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พอสรุปได้ว่าไมเกรนน่าจะเกิดจากความผิดปกติของก้านสมองคอร์เท็กซ์ ซึ่งเกี่ยวกับการเพิ่มของแคลเซียม กลูตาเมท และการลดลงของแมกนีเซียม การกระตุ้นเส้นประสาทสมองที่ 5 (Trigeminal Nerve) หรือหลอดเลือด การทำงานที่ผิดปกติของก้านสมองและส่วนกลาง รวมถึงเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลถ่ายทอดทางพันธุกรรม มีประวัติไมเกรนในครอบครัว
90% เกิดจากความเครียด
เซลล์ในสมองเป็นผู้หลั่งสารระงับอาการปวด gamma–aminobutyric acid–GABA หากเซลล์สมองเสื่อมสภาพบกพร่องในหน้าที่ ย่อมทำให้อาการปวดกำเริบ
การมีโรคของหลอดเลือดในสมอง บริเวณ thalamus ส่วนหลัง ครึ่งซีกของด้านตรงข้ามรอยโรค ก่อให้เกิดลักษณะปวดเป็นพักๆ ที่เรียก thalamic pain
ผลจากการขยายและหดตัวผิดปกติของหลอดเลือด หลอดเลือดในสมองมีการหดเกร็ง และขยายตัวอย่างรวดเร็ว ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่เรียกซีโรโทนิน ซึ่งหากลดลงมีผลให้ปวดมากขึ้น
โครงสร้างที่ไวต่อความรู้สึกเจ็บปวด ได้แก่ ในส่วนของสมอง หลอดเลือด เส้นประสาท สมองคู่ที่ 5, 7, 9, 10 ตลอดจน C2 และ C3 รวมไปถึงโครงสร้างภายนอกโพรงกระโหลกศีรษะ ได้แก่ ผิวหนัง หนังศีรษะ ตา หู ไซนัส ช่องปาก ฟัน ลำคอ กล้ามเนื้อ พังผืด (fascia)
หัวใจขาดเลือด ก็เป็นเหตุให้เกิดปวดศีรษะได้
สาเหตุร่วม เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ความเครียด ระดับฮอร์โมนเปลี่ยน เช่น ช่วงใกล้มีประจำเดือน หมดประจำเดือน ตั้งครรภ์ ใช้ยาคุม อากาศเปลี่ยน อุณหภูมิ แสงส่องจ้า กลิ่นรุนแรง ควันไฟ ควันบุหรี่ ซึมเศร้า อดนอน ยาบางชนิด อาการขาด caffeine

อาการปวดศีรษะที่ควรพบแพทย์
มีอาการปวด หลังจากศีรษะกระทบกระแทกของแข็ง แล้วมีอาการตาพร่ามัว หรืออาเจียน ในเวลาต่อมา
เป็นพร้อมไข้ คอแข็งเกร็ง สับสน พูดตะกุกตะกัก แขนขาอ่อนแรง
ชาริมฝีปาก ลิ้น หน้า พูดจาตะกุกตะกัก อาเจียน วิงเวียน อ่อนแรง

การรักษา ขณะปวดรุนแรง สารเสริมอาหารมักช่วยได้น้อยมาก ต้องใช้ยาระงับปวดโดยแพทย์
ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อไมเกรนได้แก่ ยา ในกลุ่มเออร์กอท (ergot) หรือ ทริพแทน (triptan) แต่ไม่ควรใช้ร่วมกัน ห้ามใช้ในโรคความดันสูงที่ยังควบคุมไม่ได้ มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือสมอง โรคตับ ไต ภาวะติดเชื้อ เออร์กอทยังห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงให้นมบุตร
การกินยาแอสไพริน หรือยาระงับปวดต่างๆ จะบั่นทอน แทรกแซง ความสามารถในการต่อสู้กับความเจ็บปวดตามธรรมชาติของร่างกาย อาจทำให้อาการปวดศีรษะถี่ขึ้น และรุนแรงขึ้น อีกทั้งมีโอกาสติดยาได้
การกดจุด ฝังเข็ม โดยผู้ชำนาญก็เป็นการแพทย์ทางเลือก ที่อาจช่วยได้

แนวทางพึ่งตนเอง เพื่อลด เลี่ยงการใช้ยา
แมกนีเซียม เป็นสารสำคัญที่ขาดไม่ได้ หากเกิดการขาดแมกนีเซียม หรือวิตามินบี 6 ทำให้การสร้างซีโรโทนินขาดไป ส่งผลให้เส้นเลือดขยายตัว ไปกระตุ้นเซลล์ประสาท  ปวด มีการศึกษาบ่งชี้ว่า แมกนีเซียมอาจช่วยป้องกันไมเกรนได้ดี
อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง เช่น ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว ธัญพืช ขนาดที่แนะนำคือ 6 mg/kg/d
Ca 1000 mg/d ก็พบว่าช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนในหญิงวัยหมดประจำเดือนได้ดี
B2 (Riboflavin) เมื่อร่างกายขาดจะทำให้เสียการปลดปล่อยพลังงานสำรอง จากคาร์โบฮัยเดรท พบว่าการเสริม B2 ขนาด 400 mg/d เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยลดความถี่ของระยะเวลาการปวดไมเกรนได้
B3 (Niacin) ก็มีรายงานผลช่วยลดอาการปวดไมเกรน มักให้ร่วมกับแมกนีเซียม
B5 (Pantothenic acid) และวิตามิน C ช่วยเสริมการผลิตฮอร์โมนต้านความเครียด (Catecholamine) ซึ่ง
ในภาวะเครียดมีการใช้วิตามินซี และ B5 มาก
B6 เป็นสารจำเป็นต้องใช้สร้างซีโรโทนินร่วมกับ Mg ดังกล่าวแล้ว การเสริมช่วงก่อนมี รอบเดือน 5 – 10 วัน พบว่าช่วยเพิ่ม ซีโรโทนิน ช่วยลดอาการปวด
การขาด Folic ก็ก่อให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้
ธาตุเหล็ก นั้น หากขาดไปก็ปวดหัวได้
น้ำมันปลา n3 ลดความรุนแรงและความถี่ของการปวดได้ หากขาดทำให้เสียความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นที่มาของการหดเกร็ง ปวดนั่นเอง
CoQ10 มีงานวิจัยจาก Cleavland Headache Center ในสหรัฐ พบว่าการเสริม CoQ10 150 mg/d ช่วยลดความถี่ของไมเกรน งานวิจัยในสวิทเซอร์แลนด์ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน ในการให้ CoQ10 100 mg วันละ 3 ครั้ง
เก๊กฮวย งานวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบเก๊กฮวยแห้ง 125 mg/d ช่วยได้
ทริปโตแฟน เป็นสารอาหารที่ช่วยเพิ่มระดับซีโรโทนินในสมอง serotonin เป็นสารสื่อประสาทสมอง อาหาร คาร์โบฮัยเดรทเชิงซ้อน ช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตแฟนได้
หากยังคลื่นไส้ก็ใช้ขิง (ช่วยทำให้ท้องไส้สบายขึ้น)
กลิ่นคาโมมาย ช่วยคลายเครียด บำรุงประสาท บรรเทาปวด
ร่วมกับการประคบอุ่นบริเวณคอ + ศีรษะ
ในยุโรป พบว่าสมุนไพร Feverfew และสารสกัดจากรากของ Butterbur (Petasites hybridus หรือ Petasites rhizoma) ก็ช่วยป้องกันไมเกรนได้
ผู้ป่วยไมเกรนควรดื่มน้ำมากๆ ขนาด 30 cc/kg/d (โดยเฉพาะน้ำที่มีส่วนผสมของแมกนีเซียม) และออกกำลังกายพอเหมาะอย่างสม่ำเสมอ
ชีวโมเลกุลเซลล์สมอง ต่อมไพเนียล หัวใจและหลอดเลือด ตลอดจนการใช้ ENT (Electroneural Diagnosis and Therapy) ช่วยวินิจฉัยรักษา น่าจะมีบทบาทสำคัญในการร่วมซ่อมแซมเซลล์สมอง

  การออกกำลังกาย และ สมาธิบำบัด ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และอารมณ์ช่วยคลายเครียดการสูดหายใจเข้าลึกๆ เป็นการเพิ่มปริมาณ O2 นอกเหนือจากได้ภาวะสงบขณะสูดหายใจ

ควรหลีกเลี่ยง สิ่งกระตุ้น เช่น อาหารเครื่องดื่มบางชนิด โดยเฉพาะที่มีสารประกอบ amine ไทรามีน (Tyramine) เช่น เนยแข็ง หอมหัวใหญ่ ของหมักดอง ถั่วต่างๆ เนื้อย่าง รมควัน ของดอง ไวน์แดง เบียร์ ครีมเปรี้ยว ขนมอบซึ่งมียีสต์ผสม ไส้กรอก กล้วยสุก โดยสารไทรามีน ไปลดระดับซีโรโทนิน
ยังมีสารเจือปนในอาหารที่ควรเลี่ยง เป็นการสังเกตเฉพาะราย เช่น ดินประสิว ไนไทรต์ ผสมในเบคอน ฮอทดอก เนื้อหมัก ไส้กรอก แฮม อาหารรมควัน
นอกจากนี้ก็อาจเป็นพวกขนมปังใส่ยีสต์ ซุปก้อน
ซีอิ๊ว ปลาหมัก ถั่วปากอ้า เมล็ดถั่วลันเตา
ซัลไฟด์ เป็นสารที่ใช้หมักไวน์ + ผลไม้แห้ง
โมโนโซเดียมกลูตาเมต ผงชูรส ซึ่งอาจพบในขนมถุงทั้งหลาย
น้ำตาลเทียม Aspartam ก็อยู่ในข่ายต้องสงสัย













ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น